แบบฝึดหัดวิชาเทคโนโลยีสำหรับบริหารจัดการความรู้
1.การกำหนดขอบเขต KM
(KM Focus Areas)
1.ขอบเขต KM
(KM Focus Areas) เป็นหัวเรื่องกว้างๆของความรู้ที่จำเป็นและสอดคล้องกับประเด็นยุทธศาสตร์ตามแผนบริหารราชการแผ่นดินซึ่งต้องการจะนำมาใช้กำหนดเป้าหมายKM
(Desired State)
2.ในการกำหนดขอบเขต KM ควรกำหนดกรอบตามองค์ความรู้ที่จำเป็นต่อ กระบวนงาน(Work Process)ในข้อเสนอการเปลี่ยนแปลง (Blueprint for Change)ที่ได้นำเสนอสำนักงาน
กพร. ไว้ในปี 2548 ก่อนเป็นลำดับแรก หรือ อาจกำหนดขอบเขตKMตามองค์ความรู้ที่จำเป็นต้องมีในองค์กรเพื่อปฏิบัติงานให้บรรลุตามประเด็นยุทธศาสตร์อื่นๆ
ขององค์กร
3.สามารถใช้แนวทางการกำหนดขอบเขตและเป้าหมาย KM เพื่อจะช่วยรวบรวมขอบเขต KM และนำไปกำหนดเป้าหมาย KM และแผนการจัดการความรู้ ดัง
- แนวทางที่เป็นความรู้ที่จำเป็นสนับสนุน พันธ์กิจ/
วิสัยทัศน์/ ประเด็นยุทธศาสตร์ในระดับของหน่วยงานตนเอง
- หรือแนวทางที่เป็นความรู้ที่สำคัญต่อองค์กร
- หรือแนวทางที่เป็นปัญหาที่ประสบอยู่ และสามารถนำ KM มาช่วยได้
- หรือเป็นแนวทางอื่นใดก็ได้ที่ทางหน่วยงานเห็นว่าเหมาะสม
2.KM มีใครบ้าง ทำหน้าที่อะไร
1.ผู้จัดทำโครงการ ทำหน้าที่ด้านธุรการดูแลการดำเนินการตามแผนจัดการงบประมาณ
2.ผู้จัดการความรู้ทำหน้าที่ดูแลเอกสารบันทึกความรู้ของทีมประสานงานกับCOPด้านKMและประสานกับแกนนำKM
3.ผู้นำการสื่อสารทำหน้าที่จัดการและดำเนินการส่งมอบยุทศาสตร์และแผนการสื่อสาร
4.ผู้ปฏิบัติงานเป็นผู้ออกไปสนับสนุนกิจกรรมKMของหน่วยงานต่างๆในเบื้องต้นคนเหล่านี้รับผิดชอบกิจกรรมพิสูจน์หลักการและสนับสนุนโครงการนำร่อง
3.กระบวนการจัดการความรู้ 7 ขั้นตอนมีอะไรบ้างแต่ละขั้นตอนคืออะไร
กระบวนการที่ช่วยให้เกิดการพัฒนาการของความรู้หรือการจัดการกับความรู้ที่จะเกิดขึ้นภายในองค์กรซึ่งมีดังนี้
1.การบ่งชี้ความรู้เป็นการพิจารณาว่าจะทำอย่างไรให้องค์กรบรรลุเป้าหมาย
โดยจะคัดเลือกว่าจะใช้เครื่องมืออะไร และขณะนี้เรามีความรู้อะไรบ้างอยู่ในรูปแบบใดอยู่ที่ใครโดยอาจจะพิจารณาว่าองค์กรมีวิสัยทัศน์พันธ์กิจ
ยุทธศาสตร์ เป้าหมายคืออะไร
2.การสร้างและแสวงหาความรู้ซึ่งสามารถทำได้หลายทางเช่นการสร้างความรู้ใหม่แสวงหาความรู้จากภายนอก
รักษาความรู้เก่า กำจัดความรู้ที่ใช้ไม่ได้แล้ว
3.การจัดความรู้ให้เป็นระบบ
เป็นการวางโครงสร้างความรู้
เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเก็บความรู้อย่างเป็นระบบเพื่อการเรียกใช้งานได้อย่างรวดเร็วและถูกต้องในอนาคต
4.การประมวลและกลั่นกรองความรู้
เช่น การปรับปรุงรูปแบบเอกสารให้เป็นมาตรฐานใช้ภาษาเดียวกัน
และปรับปรุงเนื้อหาให้สมบูรณ์และเหมาะสม
5.การเข้าถึงความรู้
เป็นการทำให้ผู้ใช้ความรู้เข้าถึงความรู้ที่ต้องการได้ง่ายและสะดวกโดยการใช้พวกระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ(IT) หรือการประชาสัมพันธ์บน Web board
6.การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้
ทำได้หลายวิธีการซึ่งจะแบ่งได้สองกรณีได้แก่ Explicit Knowledge อาจจะจัดทำเป็นเอกสาร ฐานความรู้ และเทคโนโลยีสารสนเทศต่างๆหรือ Tacit
Knowledge จัดทำเป็นระบบ ทีมข้ามสายงาน กิจกรรมกลุ่มคุณภาพและนวัตกรรมชุมชนแห่งการเรียนรู้
ระบบพี่เลี้ยง การสับเปลี่ยนงาน การยืมตัว และเวทีการแลกเปลี่ยนความรู้ เป็นต้น
7.การเรียนรู้
ควรทำให้การเรียนรู้เป็นส่วนหนึ่งของงานเช่นการเรียนรู้จากสร้างองค์ความรู้การนำความรู้ไปใช้ให้เกิดการเรียนรู้และประสบการณ์ใหม่ๆและนำความรู้ที่ได้ไปหมุนเวียนต่อไปอย่างต่อเนื่อง
4. กระบวนการบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลง CMP คืออะไร
เป็นกรอบความคิดแบบหนึ่งเพื่อให้องค์กรที่ต้องการจัดการความรู้ภายในองค์กรได้มุ่งเน้นถึงปัจจัยแวดล้อมภายในองค์กรที่จะมีผลกระทบต่อการจัดการความรู้ประกอบด้วย 6องค์ประกอบ ดังนี้
1.
การเตรียมการและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเช่นกิจกรรมการมีส่วนร่วมและสนับสนุนจากผู้บริหาร
(ที่ทุกคนมองเห็น)โครงสร้างพื้นฐานขององค์กรทีม/หน่วยงานที่รับผิดชอบมีระบบการติดตามและประเมินผลกำหนดปัจจัยแห่งความสำเร็จชัดเจน
–ปรับวัฒนธรรมขององค์กรให้เป็นไปในทิศทางและความเข้าใจเดียวกันเช่นกำหนดให้พนักงานมีความใฝ่รู้ช่วยกันสร้างวัฒนธรรมขององค์กร
– ผู้บริหารทำตัวเป็นกันเอง
และเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับพนักงาน
– สร้างบรรยากาศในการทำงาน
–ส่งเสริมกิจกรรมให้กับพนักงานรวมถึงให้พนักงานสามารถแสดงความคิดเห็นและแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็นทั้งประสบการณ์เพื่อให้องค์กรประสบความสำเร็จ
2.การสื่อสารเช่นกิจกรรมที่ทำให้ทุกคนเข้าใจถึงสิ่งที่องค์กรจะทำประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับทุกคนแต่ละคนจะมีส่วนร่วมได้อย่างไรโดยจะสื่อสารให้พนักงานได้รับรู้ถึงประโยชน์และวิธีการดำเนินกิจกรรมKMผ่านสื่อต่างๆเช่นEmail/Web Site,โปสเตอร์บอร์ดประกาศ
3. กระบวนการและเครื่องมือช่วยให้การค้นหา เข้าถึง ถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนความรู้สะดวกรวดเร็ว
ขึ้นโดยการเลือกใช้กระบวนการและเครื่องมือขึ้นกับชนิดของความรู้ลักษณะขององค์กร(ขนาดสถานที่ตั้ง)ลักษณะการทำงานวัฒนธรรมองค์กรทรัพยากรโดยวางขั้นตอนการดำเนินกิจกรรมและสร้างเครื่องมือเพื่อเอื้ออำนวยต่อกิจกรรมต่างๆ
4.การเรียนรู้เพื่อสร้างความเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญและหลักการของการจัดการความรู้โดยการเรียนรู้ต้องพิจารณาถึง
เนื้อหา กลุ่มเป้าหมาย วิธีการ การประเมินผลและปรับปรุง
–จัดอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดการความรู้ให้กับพนักงานเพื่อให้เข้าใจวัฒนธรรมและงานขององค์กรตลอดจนมีกิจกรรมให้พนักงานได้เข้าร่วม
– แนะนำวิธีการติดตามข่าวสารและแหล่งความรู้ต่างๆที่มีอยู่ในองค์กร
– สอนพนักงานให้ทราบถึงวิธีการใช้เครื่องมือ
– แนะนำวิธีการใช้เครื่องมือในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เช่น Blog การใช้ Chat Room การเข้ามีส่วนร่วมในชุมชนนักปฏิบัติ
5.การวัดผล เพื่อให้ทราบว่าการดำเนินการได้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่
มีการนำผลของการวัดมาใช้ในการปรับปรุงแผนและการดำเนินการให้ดีขึ้นมีการนำผลการวัดมาใช้ในการสื่อสารกับบุคลากรในทุกระดับให้เห็นประโยชน์ของการจัดการความรู้และการวัดผลต้องพิจารณาด้วยว่าจะวัดผลที่ขั้นตอนไหนได้แก่วัดระบบ(System),วัดที่ผลลัพธ์ (Out put) หรือวัดที่ประโยชน์ที่จะได้รับ
(Out come)
6.การยกย่องชมเชยและให้รางวัลเป็นการสร้างแรงจูงใจให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการมีส่วนร่วมของบุคลากรในทุกระดับโดยข้อควรพิจารณาได้แก่ค้นหาความต้องการของบุคลากรแรงจูงใจระยะสั้นและระยะยาวบูรณาการกับระบบที่มีอยู่ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับกิจกรรมที่ทำในแต่ละช่วงเวลา
5. อะไรคือ COP สร้างได้อย่างไร และมีประโยชน์อย่างไร
ความหมายของ CoP
(Community of Practice)
CoP เป็นกลุ่มคนที่มารวมตัวกันอย่างไม่เป็นทางการ
มีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และสร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ
เพื่อช่วยให้การทำงานมีประสิทธิผลที่ดีขึ้นส่วนใหญ่การรวมตัวกันในลักษณะนี้มักจะมาจากคนที่อยู่ในกลุ่มงานเดียวกันหรือมีความสนใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งร่วมกันซึ่งความไว้วางใจและความเชื่อมั่นในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันจะเป็นสิ่งที่สำคัญ”
ประโยชน์ของ COP
ระยะสั้น
· เวทีของการแก้ปัญหา ระดมสมอง
· ได้แนวคิดที่หลากหลายจากกลุ่ม
·ได้ข้อมูลมากขึ้นในการตัดสินใจ
· หาทางออก/คำตอบที่รวดเร็ว
· ลดระยะเวลา และการลงทุน
·เกิดความร่วมมือ และการประสานงานระหว่างหน่วยงาน
·ช่องทางในการเข้าหาผู้เชียวชาญ
·ความมั่นใจในการเข้าถึงและแก้ปัญหา
·ความผูกพันในกรเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม
·ความสนุกที่ได้อยู่กับเพื่อนร่วมงาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น